Strategies for Naming Your Store

กลยุทธ์ตั้งชื่อร้านค้าให้น่าจดจำและดึงดูดลูกค้า

สวัสดีครับ! ในโลกออนไลน์ที่ทุกวันนี้มีการแข่งขันสูงมากๆ มีร้านค้าเปิดใหม่แทบจะตลอดเวลา หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ร้านของเราโดดเด่นและเป็นที่จดจำได้ตั้งแต่แรกเห็น ก็คือ “ชื่อร้าน” ครับ หลายคนอาจจะมองข้าม หรือแค่คิดชื่ออะไรก็ได้ที่ตัวเองชอบ แต่จริงๆ แล้วการตั้งชื่อร้านค้าออนไลน์เนี่ย เป็นเหมือนการวางรากฐานของแบรนด์ และมีผลโดยตรงกับการดึงดูดลูกค้าเลยนะครับ

ลองนึกภาพดูนะครับ ถ้าลูกค้ากำลังเลื่อนฟีดเจอร้านค้าเยอะแยะไปหมด แล้วชื่อร้านเราอ่านยาก จำไม่ได้ ไม่สื่อถึงอะไรเลย โอกาสที่เขาจะคลิกเข้ามาดูสินค้าก็อาจจะน้อยลงไปเยอะเลย ทั้งๆ ที่สินค้าเราอาจจะดีกว่าร้านอื่นด้วยซ้ำไป

ในฐานะคนที่คลุกคลีกับการตลาดออนไลน์มาพอสมควร ผมอยากจะแชร์กลยุทธ์และหลักการง่ายๆ ในการตั้งชื่อร้านค้าออนไลน์ให้ “น่าจดจำและดึงดูดลูกค้า” ที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลยครับ

  1. สั้น กระชับ ติดหู จำง่าย (The Power of Brevity):

    สมองคนเราถูกออกแบบมาให้ประมวลผลข้อมูลที่ง่ายๆ ครับ ชื่อที่สั้นๆ มีจังหวะ มีสัมผัสคล้องจองกันหน่อย จะจำง่ายกว่าชื่อยาวๆ หรือซับซ้อนมากๆ ลองนึกถึงแบรนด์ดังๆ ทั่วโลกสิครับ ส่วนใหญ่ชื่อจะสั้นๆ เช่น Apple, Google, Nike, Shopee, Lazada ชื่อเหล่านี้ไม่ได้ยาวเลยใช่ไหมครับ ชื่อที่สั้นและกระชับจะช่วยให้ลูกค้าจำได้ง่าย เวลาจะค้นหาก็สะดวก พิมพ์ไม่ผิด ที่สำคัญคือมันดูทันสมัยและสื่อสารได้รวดเร็วในยุคที่คนรับข้อมูลเยอะมาก

    ตัวอย่าง: แทนที่จะใช้ชื่อ “ร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่นสำหรับสาวๆ ที่ชอบแต่งตัวสไตล์เกาหลี” ลองคิดชื่อที่สั้นกว่าและสื่อถึงสไตล์หรือกลุ่มเป้าหมายได้ เช่น “สาวเกาหลีสไตล์”, “โคเรียชิค”, “แฟชั่นโซล” อะไรทำนองนี้ครับ

  2. สื่อสารความเป็นตัวตน (Brand Identity) หรือสินค้า (Relevance):

    ชื่อร้านไม่จำเป็นต้องบอกเป๊ะๆ ว่าเราขายอะไร แต่ถ้าพอจะสื่อสารถึงประเภทสินค้า หรือกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการขายได้ มันจะช่วยให้ลูกค้าเป้าหมายของเราเข้าใจได้ทันทีว่าร้านนี้เกี่ยวกับอะไร เช่น ถ้าขายเครื่องประดับเงินแท้ อาจจะมีคำว่า “Silver”, “Jewelry”, “เงิน” หรือคำที่ฟังดูหรูหราอยู่ในชื่อ แต่ก็ไม่ใช่กฎตายตัวนะครับ บางทีชื่อที่ดูไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่มีเอกลักษณ์และน่าสนใจ ก็ดึงดูดได้เหมือนกัน

    ตัวอย่าง: ถ้าขายขนมเค้ก อาจใช้ชื่อที่ฟังแล้วรู้สึกถึงความอร่อย หวานละมุน หรือความโฮมเมด เช่น “Sweet Secret”, “บ้านเค้กอร่อย”, “อบด้วยใจ” ถ้าขายอุปกรณ์เดินป่า อาจใช้ชื่อที่ฟังแล้วรู้สึกผจญภัย แข็งแกร่ง เช่น “Trail Finder”, “ยอดดอย Shop”

  3. มีเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใคร สร้างความแตกต่าง (Uniqueness):

    ในเมื่อตลาดออนไลน์มันใหญ่ คู่แข่งก็เยอะ ถ้าชื่อร้านเราไปเหมือนหรือคล้ายกับร้านอื่นมากๆ โดยเฉพาะร้านที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว นอกจากจะทำให้ลูกค้าสับสน อาจจะดูเหมือนเราไปลอกเลียนแบบเขามา ทำให้ดูไม่น่าเชื่อถือครับ การคิดชื่อที่มีเอกลักษณ์ จะช่วยสร้างแบรนด์ดิ้งที่แข็งแกร่งและทำให้ร้านเราโดดเด่นออกมา การจะเช็คว่าชื่อเราซ้ำกับใครไหม ควรเช็คทั้งชื่อเพจ/บัญชีบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหลักๆ ที่เราจะใช้, ชื่อโดเมนเว็บไซต์ (ถ้ามีแผนทำ) และอาจจะลองค้นหาใน Google ดูด้วยครับ

    เคล็ดลับ: ลองใช้คำที่ไม่คุ้นเคย หรือเอาคำสองคำที่ดูไม่เข้ากันมาผสมกัน อาจจะได้ชื่อที่ดูแปลกใหม่และน่าจดจำ

  4. ออกเสียงง่าย สะกดง่าย ค้นหาง่าย (Pronounceability & Searchability):

    ลองพูดชื่อร้านของคุณดังๆ ครับ มันติดลิ้นไหม? แล้วถ้าบอกชื่อนี้กับเพื่อน เขาจะฟังออกและสะกดได้ถูกต้องไหม? ชื่อที่ออกเสียงยาก สะกดยาก นอกจากจะทำให้คนจำไม่ได้แล้ว เวลาลูกค้าอยากจะกลับมาซื้อซ้ำ แล้วลองพิมพ์ค้นหาชื่อร้านบนแพลตฟอร์มต่างๆ หรือบน Google อาจจะหาไม่เจอ เพราะพิมพ์ผิดได้นะครับ

    ข้อควรระวัง: หลีกเลี่ยงการใช้ตัวอักษรพิเศษที่ไม่จำเป็น หรือการสะกดคำแบบที่ผิดไปจากหลักภาษามากเกินไป (เว้นแต่จะเป็นเจตนาเพื่อให้ดูมีสไตล์จริงๆ และลูกค้าเข้าใจง่ายพอ)

  5. คิดเผื่ออนาคต และความยืดหยุ่น (Future-Proof):

    วันนี้เราอาจจะขายแค่เสื้อผ้าผู้หญิง แต่ในอนาคตเราอาจจะอยากขยายไปขายเสื้อผ้าผู้ชาย ของใช้เด็ก หรือสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ถ้าชื่อร้านเราเจาะจงเกินไป เช่น “เสื้อผ้าสาวสวย by [ชื่อคุณ]” พอจะขายสินค้าอื่น ชื่อนี้อาจจะไม่เหมาะแล้ว ลองคิดชื่อที่ค่อนข้างกว้างหน่อย หรือมีความหมายที่ครอบคลุมแนวทางธุรกิจในอนาคตไว้ด้วยครับ

กระบวนการช่วยในการตั้งชื่อ (Bonus Tips):

  • ระดมสมอง (Brainstorming): เขียนคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของเรา กลุ่มเป้าหมาย ความรู้สึกที่เราอยากให้ลูกค้ารู้สึก หรือคำที่ชอบออกมาเยอะๆ แล้วลองเอามาผสม จับคู่ หรือปรับเปลี่ยนดู

  • ใช้เครื่องมือช่วยคิดชื่อ (Name Generators): มีเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่ช่วยคิดชื่อร้าน โดยเราใส่คีย์เวิร์ดเข้าไป ลองใช้ดูเป็นไอเดียครับ

  • ทดสอบกับกลุ่มเป้าหมาย (Test the Waters): ลองเอาชื่อที่คิดได้สัก 2-3 ชื่อ ไปถามเพื่อน คนรู้จัก หรือกลุ่มเป้าหมาย ว่าชื่อไหนฟังแล้วรู้สึกดีที่สุด จำง่ายที่สุด

  • นอนหลับไปคิด (Sometimes the best ideas come when you’re relaxed): บางทีคิดไม่ออก ก็ลองพักสมองไปทำอย่างอื่น ชื่อดีๆ อาจจะปิ๊งขึ้นมาตอนที่เราไม่ได้เครียดอยู่ก็ได้ครับ

การตั้งชื่อร้านค้าออนไลน์อาจจะต้องใช้เวลาและพลังงานในการคิดสักหน่อยนะครับ แต่อย่ามองข้ามขั้นตอนนี้ไปเด็ดขาด ชื่อที่ดีเป็นเหมือนก้าวแรกที่สำคัญมากๆ ที่จะพาให้ร้านค้าของคุณเข้าไปอยู่ในใจลูกค้า และช่วยปูทางไปสู่ความสำเร็จในระยะยาวได้ครับ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ลอง และเลือกชื่อที่ใช่ที่สุดสำหรับร้านของคุณนะครับ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Comment

Name

Home Shop Cart 0 Wishlist Account
Shopping Cart (0)

No products in the cart. No products in the cart.